ใต้บ้านพักกลางป่าใหญ่ใต้เสียงหัวเราะสารพัดตัวเราเผลอสุขใจกว่าที่เคย

เราแต่ละคนมักจะมีสิ่งที่ทำซำ้ๆในทุกปีและการที่ได้ทำสิ่งๆนั้น ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ย่อมทำให้เรารู้สึกโล่งใจ สุขใจ สบายใจมากขึ้น สิ่งที่อยากได้หรืออยากทำก็แตกต่างออกไปตามวิถีชีวิต บางคนคิดการใหญ่ ปีนึงต้องได้ไปเที่ยวยุโรป หรือเก็บเงินได้หลักล้านในทุกๆปี แต่บางคนก็อยากอะไรที่มันไม่ได้ใหญ่ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าสุขที่ได้จะน้อยกว่านะ เช่น การไปฟังวงที่ชอบทุกๆปี ได้อ่านหนังสือเล่มโปรดซำ้แล้วซำ้เล่าของนักเขียนในดวงใจ หรือแม้กระทั้งได้เจอคนรักที่อยู่ในแดนไกล ความฝันของคนเราต่างกันไป ก็เหมือนกับที่เราโตมาคนละแบบ สิ่งที่เราอยากทำให้ได้นั่นก็คือการไปเที่ยวเชียงใหม่ปีละครั้ง เหมือนว่าสิ่งพวกนี้จะกลายเป็นธรรมเนียมไปแล้วว่าทุกปีเราจะต้องทำสิ่งๆนี้ กลิ่นอายของความเติมเต็มละมั้ง
ทำไมกันคนเราถึงชอบทำอะไรซำ้ๆ นั่งคิดอยู่ไม่นานและได้คำตอบ ถ้าทำแล้วมีความสุข ตราบใดที่ความสุขหามาได้จากสิ่งที่ทำซำ้แล้วซำ้เล่า ก็จงทำต่อไป ครั้งนี้ก็ไม่ต่างกันที่ได้เติมเต็มสุขนั่นตั้งแต่ต้นปีแบบต้นสุดๆ

๕ มกราคม ๒๕๖๖ กรุงเทพฯ-เชียงใหม่
21:14 น. แท็กซี่จอดส่งที่หน้าทางเข้า หนึ่งมือถือกระเป๋าใส่สัมภาระ อีกมือถือความฝันและความตื่นเต้นที่ในที่สุดก็ได้ออกเดินทางอีกครั้ง
เดินเข้ามาข้างในไม่นานก็ต้องพบกับผู้คนมากมายที่กำลังนั่งรอเวลาขึ้นขบวน บ้างมาคนเดียว บ้างเป็นคู่ บ้างเป็นกลุ่ม เราไล่สายตาไปทั่วจนหยุดอยู่ตรงกลุ่มหนึ่ง ดูเหมือนสมาชิกบางคนจะถึงและได้เริ่มทริปด้วยบทสนทนากันไปก่อนแล้วถึงแม้จะยังมาไม่ครบก็ตาม เราเดินเข้าไปหาเพื่อนสองคนที่นั่งอยู่ตรงจุดนั่งรอตรงทางเข้าไปยังรถไฟก่อนที่จะยิ้มให้กันเหมือนแต่ละคนมีอะไรจะพูด
มันจะมีเพื่อนบางกลุ่มหรือบางคนที่ไม่ว่าจะเจอกันน้อยแค่ไหน ต่างคนต่างไปใช้ชีวิตยังไง แต่พอมาเจอกัน เวลาที่ห่างหายเหล่านั้นไม่ได้ทำให้ต้องมาทำความคุ้นชินกันใหม่เลย เหมือนเวลาถูกหยุดไว้ตอนแยกและเดินต่อเมื่อกลับมาเจอกัน
"หายหน้าหายตาเลยนะ ปีนึงเจอครั้งนึง" เราทักเพื่อนคนนึงในกลุ่มที่ล่าสุดเจอกันก็คือทริปเชียงใหม่ปีที่แล้ว มันไม่พูดอะไรและให้คำตอบด้วยรอยยิ้ม
เราวางของและเดินไปตรงจุดบริการจำหน่ายตั๋วเพื่อพิมพ์ตั๋วที่เราได้ทำการจองไว้ในเว็บไซต์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ระหว่างที่กำลังยืนคุยกับเจ้าหน้าที่ สมาชิกอีกคนก็เข้ามาทักทาย ขาดอีกคนก็จะครบ ปกติทุกครั้งที่ไปจะต้องมีหกคน แต่ครั้งนี้หนึ่งในสมาชิกไม่สามารถมาได้เลยทำให้ทริปครั้งนี้ผ่านมติมาด้วยห้าคนที่เหลือ
"คนที่เหลืออยู่ไหนอะ" คำถามแรกที่เพื่อนถามตอนที่กำลังรอเจ้าหน้าที่พิมพ์ตั๋วรถไฟทีละใบ
"นู่น" เราพูดพรางเอานิ้วชี้และมองไปที่เพื่อนๆที่นั่งอยู่ไม่ไกล ดูเหมือนสมาชิกคนสุดท้ายก็ถึงแล้ว หลังจากที่รับตั๋วโดยสารและกล่าวคำขอบคุณให้กับพี่พนักงานพวกเราก็มุ่งหน้าเข้าไปด้านใน สิ่งแรกที่ต้อนรับเราก็คือป้ายสีขาวที่ถูกล้อมไปด้วยชานชาลาเขียนว่า กรุงเทพ ผู้คนมากมาย ทั้งไทยและต่างชาติกำลังเดินไปรถไฟที่ตนได้จองไว้ พวกเรายืนและมองไปรอบๆ
เพื่อนคนนึงทักขึ้นมาหลังจากที่มันไล่สายตาหาคำว่าเชียงใหม่ในแต่ละชานชาลาอยู่ประมาณสิบวิ "ไหนเชียงใหม่วะ"
๖ มกราคม ๒๕๖๖ บีมคู่กาย กีตาร์คู่ใจ
15:40 น. วางของลงที่พักได้ไม่นานพวกเราก็เริ่มทริปแบบจริงๆด้วยกิจกรรมที่ขาดไม่ได้นั่นก็คือเล่นกีตาร์ร้องเพลง ไม่รู้ทำไมทุกครั้งที่ไปไหนจะต้องพกเครื่องเล่นนี้ไปมาตลอด และก็ไม่รู้ทำไมมันถึงเป็นความสุขที่หามาได้ง่ายๆ แค่ดีดละก็ร้องและปล่อยให้เสียงเพลงเยียวยา
แพลนวันนี้ของการอยู่ในตัวเมืองไม่มีอะไรเลย ตั้งใจไว้ว่าจะสบายๆ ไม่ได้ไปที่ไหนโดยเฉพาะ เล่นกีตาร์ฟังเพลง เดินเล่นกินข้าวละก็จบ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เราไปเจอละทำให้การมาเชียงใหม่ครั้งนี้แตกต่างจากครั้งอื่นๆนั่นก็คือ "สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า" มันทำให้การมาครั้งนี้สนุกขึ้นไม่มากก็น้อยเมื่อทุกคนตกลงกันว่าจะใช้มันเป็นพาหนะในการไปหาของกินในคำ่คืนที่จะถึงนี้
19:14 น. ดูเหมือนว่าวันนี้จะมีงานอะไรสักอย่าง อาหารหลากหลายประเภทถูกวางขายตามบูธต่างๆ ทั้งญี่ปุ่น ไทย อเมริกา เราเดินดูรอบๆได้ไม่นานก็เลือกที่จะฝากท้องไว้กับอาหารเหล่านี้ถึงแม้ตอนแรกจะไปร้านอาหารจริงๆจังๆก็ตาม บรรยากาศที่นี่สบายมาก ทั้งอากาศที่เย็นกำลังดี นักร้องที่กำลังเล่นดนตรีสด และผู้คนที่เดินไปๆมาๆ one nimmanไม่เคยทำให้ผิดหวังเลยจริงๆ

๗ มกราคม ๒๕๖๖ นำ้ตกแม่กลาง-บ้านห้วยผักกูด
14.47 น. นำ้ตกแม่กลาง ทางผ่านระหว่างตัวเมืองเชียงใหม่และบ้านห้วยผักกูด ตั้งอยู่ในตำบลบ้านหลวงอำเภอจอมทอง นำ้ตกแม่กลางเป็นนำ้ตกขนาดใหญ่ที่อยู่ในบริเวณอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ เหมาะสำหรับที่จะมาพักผ่อนเพราะมีร้านอาหารและยังสามารถลงไปเล่นนำ้ได้อีกด้วยเนื่องจากมีแอ่งนำ้หลายแห่ง
หลังจากที่หาข้อมูลเกี่ยวกับนำ้ตกนี้ก็ได้รู้ว่านำ้ตกแม่กลางถือเป็นจุดแรกของประตูเข้าสู่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ และเป็นนำ้ตกที่มีความสวยงามแต่คนมักจะขับผ่านเพราะมันตั้งอยู่ตรงโค้งก่อนจะถึงด่านตรวจแรกของอุทยานฯ
พวกเราเจอนำ้ตกนี้ระหว่างที่เปิดแผนที่ไปที่พักเลยเลือกที่จะแวะชมบวกกับพักรถไปด้วย ลงรถได้ไม่นานพวกเราก็เดินตรงไปที่นำ้ตก น่าจะเป็นเพราะช่วงมกราหรือไม่ก็แค่ลมเย็นที่ทำให้บรรยากาศที่นำ้ตกแม่กลางค่อนข้างร่มรื่นผ่อนคลาย เราเลือกที่จะเดินตามโขดหินไปอยู่ประมาณเกือบชั่วโมงแทนที่การเดินตามทางเพราะกลัวมันจะนานและจะทำให้เราถึงที่พักคำ่จนเกินไป
17.43 น. หลังจากที่ขับมาประมาณชั่วโมงกว่าๆพระอาทิตย์ก็เริ่มที่จะลับฟ้า เรายังขับรถไปตามทางเรื่อยๆถึงแม้สัญญาณโทรศัพท์เราจะค่อยๆหายไป บรรยากาศระหว่างทางกำลังดีพวกเราเปิดหน้าต่างเอาหน้าออกมารับลมและแสงแดดอ่อนๆ ยิ่งมีเสียงเพลงในรถยิ่งทำให้การขับครั้งนี้ไม่เหนื่อยนัก

18.10 น. ขับมาไม่นานเราก็เลี้ยวเข้าถนนเส้นเล็กๆเส้นหนึ่งที่ถูกรายล้อมไปด้วยทุ่งหญ้ากว้างพอที่จะเห็นภูเขาเรียงกันเป็นทอดๆ สวยจนเราต้องจอดรถ เปิดไฟฉุกเฉินและออกมากลางถนน หวังไม่ให้มีรถขับตามหรือสวนมา
"รูปที่ถ่ายแม่ง เทียบกับที่เห็นไม่ได้จริงๆวะ" ตัวเราเผลอพูดออกมาหลังจากที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปตรงหน้า ภูเขาไกลสุดลูกหูลูกตา กว้างใหญ่แต่เงียบสงบ ระหว่างที่ตัวเรากำลังเขียนอยู่นี้ก็กำลังหาคำพูดที่จะอธิบายภาพที่อยู่ตรงหน้า แต่ต่อให้คิดเท่าไหร่ก็ไม่มีคำไหนหรือประโยคไหนสามารถบรรยายความสวยของวิวตรงหน้าได้เลย ไม่รู้ต้องทำยังไงละ เอาเป็นว่าถ้ามาบ้านห้วยผักกูดก็แวะได้นะ แล้วเจอกัน ระหว่างทางที่ตะวันกำลังลับฟ้า
18.70049° N, 98.35022° E

๘ มกราคม ๒๕๖๖ บ้านห้วยผักกูด
ตั้งอยู่ในแม่แจ่ม บ้านห้วยผักกูดเป็นหมู่บ้านของชาวกระเหรี่ยง ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2000 บ้านห้วยผักกูดอยู่ห่างจากดอยอินทนนท์ประมาณ 90กิโลเมตร หรือขับประมาณสองชั่วโมง ที่นี่มีวิถีชีวิตแบบกระเหรี่ยงชาวพุทธ จริงๆแล้วชื่อเดิมของที่นี่มีชื่อว่าบ้านห้วยพระกูแต่เพราะชาวบ้านพูดชื่อไม่ชัด เวลามีคนนอกมาถามก็เลยเพี้ยนจากห้วยพระกูเป็นห้วยผักกูด ผ่านมาทางผู้ใหญ่บ้านได้มีการริเริ่มเอาช้างมานำการท่องเที่ยวโดยทำการท่องเที่ยวแบบโฮมสเตย์ที่คนนอกสามารถเข้ามาพักได้ ที่ที่เราพักมีชื่อว่าโฮมสเตย์คนเลี้ยงช้างบ้านห้วยผักกูด สำหรับคนที่สนใจสามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ บ.ห้วยผักกูด ได้ ที่นี่
เจ้าของโฮมสเตย์นี้ชื่อพี่อัศวิน หรือพี่วิน พวกเราอายุไล่ๆกันเลยทำให้คุยกันค่อนข้างถูกคอ ตั้งแต่การจองจนถึงวันที่มาถึง พี่วินดูแลเราเป็นอย่างดี คอยแนะนำเส้นทางและอธิบายอะไรหลายๆอย่าง เราเจอที่พักนี้จากสมาชิกในกลุ่มมาแนะนำตอนที่เรากำลังเลือกว่าจะไปไหนในเชียงใหม่
รถจอดตรงที่พักได้เกือบทุ่มพอดีพวกเราก็รีบยกของและตั้งใจจะแยกกันไปอาบนำ้ก่อนที่อากาศหนาวจะทำให้ไม่อยากไปกว่านี้แต่พอได้เห็นที่พักกับตา พวกเราต้องยืนมองไปรอบๆ คำชมถูกพูดออกมาเรื่อยๆ ทุกคนต่างรู้สึกว่าบ้านหลังนี้ถูกออกแบบด้วยความใส่ใจในรายละเอียดและใช้งานได้จริง ทั้งห้องนอน ทั้งที่นั่งผิงไฟ พวกเราสำรวจบริเวณต่างๆรอบตัวบ้านอยู่สักพัก กว่าจะได้อาบนำ้ก็ปาไปหลายนาที
19.40 น. อาบนำ้กันเสร็จไม่นานพวกเราก็มานั่งกันเป็นวงโดยที่ตรงกลางเป็นอาหารที่คุณแม่ของพี่วินได้เตรียมไว้ให้ อาหารเป็นอาหารพื้นบ้าน อาหารหลากหลายประเภทค่อยๆถูกวางเรื่อยๆและพวกเราก็กินกันเรื่อยๆเหมือนกัน จริงๆมีอีกหลายอย่างแต่ถ่ายไว้แค่นี้เพราะตอนนั้นคงจะหิวมาก พอกินเสร็จพวกเราก็ไม่รอช้า ต่อด้วยกิจกรรมประจำทริปของเราก่อนจะบอกลาพี่วินที่ขอตัวไปก่อน เราตกลงกันว่าพรุ่งนี้เช้าจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นบนดอยใกล้ๆและจะตื่นกันตอน6.30 น.
เสียงเพลงยังคงดังออกมาจากกีตาร์ที่ถูกผลัดกันเล่นโดยสมาชิกทุกคนถึงแม้จะเป็นเวลาห้าทุ่มกว่า เพลงส่วนใหญ่ที่พวกเราเล่นจะเป็นแนวดนตรีโฟล์คไทย เพราะสำหรับพวกเรา ไม่มีอะไรเหมาะไปมากกว่าภูเขากับดนตรีโฟล์คแล้ว พวกเราปล่อยให้เสียงเพลงกล่อมเราใต้บ้านพักกลางป่าใหญ่และหลับไปพร้อมกับความตื่นเต้นสำหรับเช้าพรุ่งนี้
มันแปลกมั้ยนะ ทั้งๆที่เราเห็นพระอาทิตย์ดวงเดิมๆมาตั้งแต่เกิด เรากลับรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้มาดูมันค่อยๆลอยขึ้นมาเหนือภูเขา คงจะเป็นเพราะสถานที่ที่มันขึ้นกับคนที่เราดูด้วยรึเปล่านะ

6.30 น. ตื่นด้วยเสียงนาฬิกาปลุก ดูเหมือนว่าเพื่อนห้องอื่นยังคงฝันกันไม่ยอมตื่น ก็ไม่แปลกที่จะนอนไม่ตื่น ได้ห่มผ้าหนาๆในคำ่คืนที่อากาศหนาวขนาดนี้ ละยิ่งมีลมที่พัดผ่านหน้ามาเป็นระยะๆ เป็นใครก็คงจะไม่ตื่นง่ายๆ คงมีใครหลายๆคนที่เข้าใจความรู้สึกนี้เพราะพวกเราก็เป็นเหมือนกัน

ถึงแม้การปลุกคนที่กำลังหลับอย่างสบายจะเป็นความผิด แต่ก็ต้องจำใจเพราะตอนนี้พระอาทิตย์ใกล้จะขึ้นแล้วและพี่วินก็พร้อมที่จะออกเดินทางแล้วเหมือนกัน เรารีบปลุกสมาชิกทุกคนจนตื่น พากันไปล้างหน้าแปรงฟันและออกไปบนยอดดอยสักที่ที่พี่วินบอกว่าจะเห็นพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยที่สุด ระหว่างที่เรากำลังเดินทางไปจุดชมวิว มีน้องหมาตัวนึงวิ่งตามรถตั้งแต่บ้านพักจนถึงยอดดอย เราถามพี่วินว่าหมาชื่ออะไร
"ชื่อหมูปิ้งครับ" พี่วินบอก พวกเราต่างส่งเสียงหัวเราะเพราะรู้สึกว่าชื่อมันแปลกแต่ก็รู้สึกว่าหมูปิ้งเป็นชื่อที่เหมาะกับมัน คงจะเป็นเพราะสีขนละมั้ง
6.50 น. ใช้เวลาไม่นานเราก็มาถึงยอดของดอยที่ไม่มีชื่อ หรือถ้ามีพวกเราก็ไม่รู้ ถือว่าเป็นเวลาที่ดีเพราะพระอาทิตย์กำลังขึ้นและแสงก็กำลังดี พวกเราใช้เวลากับการมองวิวและถ่ายรูปอยู่นาน รู้ตัวอีกทีพระอาทิตย์ก็ขึ้นซะแล้ว

7.45 น. ลงมาจากดอยคุณแม่ของพี่วินก็ได้เตรียมข้าวต้มกับนำ้พริกไว้ให้เรา เติมกันหลายจานก่อนที่จะเดินไปหาพี่วินขอให้ชงกาแฟให้ คำถามร้อยแปดถูกถามออกไปในขณะที่พี่เค้ากำลังชงกาแฟ มีคนมาพักแถวนี้เยอะมั้ย ฝึกชงกาแฟยังไง พี่เค้าก็ตอบไปด้วยพร้อมกับมือที่กำลังยุ่งอยู่กับการทำกาแฟอย่างพิถีพิถัน สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจที่พี่วินเล่าคือจะมีชาวต่างชาติสองสามคนที่ปีนึงจะมาอาศัยอยู่เป็นเวลาหลายเดือนในหมู่บ้านนี้ ทุกวันช่วงเที่ยงๆเค้าก็จะเดินมาสั่งกาแฟที่บ้านหลังนี้ พอได้ยินเราก็อดคิดไม่ได้ว่า "เออ เจ๋งดีแหะ" ถ้าเป็นพวกเราก็อยากทำบ้าง หนีออกมาจากความวุ่นวายสู่การใช้ชีวิตที่เรียบง่ายที่สุด ชีวิตที่เรียบง่าย ฟังดูอาจจะไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นอะไรแต่สำหรับเรา ชีวิตที่ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นอะ น่าตื่นเต้นที่สุดละ

สองแก้วแรกที่พี่วินให้ชิมก็คือกาแฟดริป อันนึงคั่วเข้ม อันนึงคั่วกลาง ด้วยความที่เราก็ชอบกาแฟเราจึงไม่รอช้า ชิมทุกอย่างที่พี่เค้าเตรียมมาให้ หลังจากที่เราถามไปว่าฝึกมานานหรือยัง การชงกาแฟ พี่เค้าก็บอกว่าฝึกมาได้ประมาณปีนึง พวกการชงกาแฟต่างๆรวมไปถึงลาเต้อาร์ต
"เสียนมไปหลายกล่องเลยครับตอนฝึก" พี่วินกล่าว

หลังจากที่ดื่มกาแฟเสร็จ เราเดินดูรอบๆบ้านและถ่ายแต่ละมุมที่เราคิดว่าพิเศษ มุมแรกคือห้องนอนที่เรานอนเมื่อคืน จะเห็นได้ว่ามีช่องว่างตรงกำแพงที่ทำให้เราเห็นบรรยากาศข้างนอกได้ตอนตื่น เรารู้สึกว่ามันดีมาก เหมือนกรอบรูปชิ้นใหญ่ที่เปลี่ยนไปตามเวลาของวัน
ผนังถูกตกแต่งด้วยรูปภาพและรูปวาดหลากหลายชิ้นเล่าถึงเรื่องราวต่างๆที่เคยเกิดขึ้น เราถ่ายภาพวาดนี้มาเพราะเรารู้สึกว่ามันสะท้อนความรู้สึกเวลาอยู่บ้านหลังนี้ได้ดี คนนึงที่กำลังอ้าแขนรับลมเย็นที่พัดมาจากภูเขาขณะที่มีคนอื่นๆกำลังนั่งคุยกัน ความสุขนั่นหาได้ไม่ยากใต้บ้านพักกลางป่าใหญ่

10.30 น. ตอนนี้ในแต่ละมุมของบ้านถูกยึดเพื่อใช้ในการทำกิจกรรมของแต่ละคน บางคนเล่นโทรศัพท์ บางคนเอาหนังสือมาอ่าน บางคนตามองภูเขาที่อยู่หน้าบ้าน บางคนนั่งคุยกัน บางคนเล่นกีตาร์ เรารู้สึกถึงความสงบถึงแม้จะมีกิจกรรมมากมายเกิดขึ้นพร้อมๆกัน
เราตั้งใจจะออกจากที่นี่ตอนประมาณ 11.30 จึงทำให้มีเวลาว่างประมาณชั่วโมงนึง ไม่ได้ตกลงอะไรกัน พวกเราก็ต่างแยกย้ายไปทำในสิ่งที่ตัวเองตั้งใจอยากจะทำ มันเป็นหนึ่งชั่วโมงสุดท้ายก่อนที่จะต้องรออีกหนึ่งปี
ต้องเล่าก่อนว่าจริงๆแล้วที่เรามาเชียงใหม่ได้แค่ปีละครั้ง มันเป็นเพราะช่วง 3-10 มกราของทุกๆปีจะเป็นช่วงเดียวที่พวกเราว่างพร้อมๆกัน และมันก็เป็นเวลาที่อากาศกำลังดี เราจึงหยิบช่วงเวลานี้ตั้งทริปขึ้นมา แต่ปีละครั้งก็คงมีข้อดีของมัน อยู่ที่คนจะมอง

11.30 น. กล่าวลากับพี่วินและคุณพ่อคุณแม่พวกเราก็พร้อมที่จะออกจากที่พัก แต่ถึงอย่างนั้น พวกเราก็อดไม่ได้ที่จะสั่งกาแฟกันอีกคนละแก้วเตรียมตัวสำหรับการขับรถอีกประมาณสามชั่วโมง
บ้านห้วยผักกูดเป็นที่ที่โอเคมากสำหรับคนที่ไม่อยากลำบากจนเกินไปแต่อยากใกล้ชิดกับธรรมชาติ ในด้านความสะดวกสบาย มีไฟฟ้าใช้ตลอดเวลาและมีถนนที่เข้าถึงจึงทำให้ไม่ต้องเดินทางด้วยเท้า ตัวที่พักเองก็เป็นที่พักที่กว้างพอที่จะรับแขกหลายๆคน พี่วินเจ้าของโฮมสเตย์เองก็ใจดีและต้อนรับมากๆ ราคาก็ถือว่าคุ้มเลยแหละ จริงๆถ้ามีเวลามากกว่านี้ก็คงจะอยู่นานกว่านี้ สำหรับใครที่อ่านมาถึงตรงนี้แล้วรู้สึกว่าน่าจะชอบ เราแนะนำนะ
— "แล้วมาเจอกัน ถึงแม้จะคนละช่วงเวลาก็ตาม" —
ก่อนอื่นเลย สำหรับคนที่อ่านมาจนถึงตรงนี้ ขอบคุณนะ อันนี้เป็นงานเขียนภาษาไทยชิ้นแรกแล้วก็เป็นงานที่เขียนเล่าการไปเที่ยวครั้งแรกเหมือนกัน ถ้าผิดพลาดหรือตกอะไรไปเราขออภัย เป้าหมายที่ตั้งใจตอนเขียนคือพาพวกคุณ ผู้อ่าน ตามเรื่องราวการไปเที่ยว เห็นภาพในแต่ละที่ที่ไปและมีความรู้สึกเดียวกับที่เรามีไปด้วยกัน จริงๆอยากเขียนโดยที่ไม่มีรูปเลยเพราะรู้สึกว่าผู้อ่านจะได้จินตนาการขึ้นมาเอง เราคิดว่ามันคือสิ่งที่ทำให้การอ่านมันพิเศษ แต่การมีภาพประกอบก็ช่วยนำทางผู้อ่านได้ดีเลยแหละว่าเรากำลังอยู่ที่ไหนทำอะไร หวังว่าจะชอบกันนะ จบละ
เครดิตรูปฟิล์มจากนาย ศุภวิช
Member discussion