ฟีลาโน่พิชิต 2000 โค้ง ณ บ้านรักไทย ตอนที่ 1
คำว่า เดินทาง กับ เที่ยว ดูคล้ายกันแต่ให้ความรู้สึกที่แตกต่างอย่างชัดเจน อย่างน้อยก็เป็นความคิดส่วนตัว เวลาเราบอกว่าไปเที่ยวตรัง ก็โอเค ดูปกติ ธรรมดา แต่ถ้าบอกว่า เดินทางไปตรังล่ะ มันดูมีอะไรมากขึ้น ไม่รู้เพราะคำว่าเดินทางมันทำให้เราจินตนาการภาพของการที่เราไปจากที่ที่นึง ไปอีกที่ที่นึงชัดเจนขึ้นรึเปล่า พูดมาถึงตรงนี้อาจจะยังไม่รู้ว่าความแตกต่างระหว่าง เดินทาง กับ เที่ยว มันต่างกันยังไง ไม่เป็นไร อ่านจบคงจะเข้าใจ
สำหรับการเดินทางครั้งนี้ เราให้ความสำคัญกับระหว่างทางเป็นพิเศษ
จุดเริ่มต้นของเรายังคงเป็นสถานีรถไฟหัวลำโพงเจ้าเดิม แต่ปลายทางครั้งนี้ของเราไม่ใช่เชียงใหม่ถึงแม้จะนั่งรถไฟไปเชียงใหม่ก็ตาม จุดหมายปลายทางของเราคือ บ้านรักไทย อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน การเดินทางของเราจากกรุงเทพไปแม่ฮ่องสอนจะมีอะไรบ้าง จะลำบากแค่ไหน ผ่อนคลายแค่ไหน เชิญรับชม

๖ ตุลาคม ๒๕๖๒ กรุงเทพฯ - เชียงใหม่
สมาชิกของเราครั้งนี้มีทั้งหมด ๔ คนรวมคนเขียน พวกเรานัดเจอกันที่หัวลำโพงตั้งแต่ช่วงเย็นเพื่อที่จะทานอาหารและพูดคุย (สมัยนั้นยังมีร้านเปิดตามชั้น ๒) ก่อนที่จะเดินไปที่ชานชะลา
จอป้ายบอกข้อมูลมากพอให้เรารู้ว่าที่คือขบวนรถไฟที่จะพาเราไปเชียงใหม่ เรายืนอ่านป้ายไม่นานก็เคลื่อนตัวไปที่รถไฟ ยื่นตั๋วของเราให้พี่ในชุดเครื่องแบบที่ยืนอยู่ท้ายขบวนเพื่อความแน่ใจว่าปลายทางของรถไฟขบวนนี้คือเชียงใหม่ พี่แกไล่อ่านตั๋วแต่ละใบก่อนที่จะเดินไปดื้อๆ เราหันมามองหน้ากันก่อนที่จะรีบเดินตามพี่เค้าไปติดๆด้วยความคิดว่า "อ่าว ตั๋ว"

หลังจากที่เดินตามก็ถึงได้รู้ว่าพี่แกเดินพามาตรงทางขึ้นของขบวน ไอเราก็ใจหาย เจ้าหน้าที่ยื่นตั๋วคืนโดยไม่พูดอะไรสักคำ อย่างกับละครใบ้ เราต่างขอบคุณพี่แกด้วยความงงและเดินขึ้นขบวนในที่สุด
สำหรับคนที่ไม่เคยขึ้นรถไฟแบบนี้ เค้าจะมีบริการเปลี่ยนที่นั่งเป็นเตียงพร้อมผ้าปู หมอน ผ้าห่ม สำหรับนอนตอนกลางคืน และจะมาพับเก็บให้ตอนเช้า ด้วยความที่เราจองเตียงติดกันเราจึงสั่งอาหารเล็กๆน้อยๆมาแบ่งกันกินก่อนที่จะแยกย้ายไปทำธุระส่วนตัวและเข้านอน

๗ ตุลาคม ๒๕๖๒ เชียงใหม่ - ปาย
06:45 น. ตื่นขึ้นมาพร้อมกับเสียงขบวนรถไฟที่ยังคงแล่นไปตามทาง เราลุกไปล้างหน้าล้างตาแปรงฟันก่อนจะเช็คข้อความจากเพื่อนคนนึงที่ตื่นแล้วคนนึงว่าอยู่หัวขบวน เราเดินไปอย่างช้าๆ ตู้นอนส่วนใหญ่จะยังมีผ้าม่านปิดอยู่แต่ก็เริ่มมีคนทยอยตื่นกันแล้ว ขบวนหน้าๆของรถไฟจะเป็นแบบตากอากาศ ไม่ต้องเห็นก็รู้แล้วบรรยากาศจะดีแค่ไหน (ขนาดนั่งเขียนอยู่ยังจำได้ไม่ลืม)
เราไปนั่งตรงข้ามเพื่อนพร้อมกับซื้อโอวัลตินร้อนมาดื่ม ไม่มีบทสนทนาอะไรระหว่างเราและเพื่อน ต่างคนต่างกำลังนั่งมองวิวออกไปทางหน้าต่างของรถไฟที่จากไปอย่างรวดเร็ว ต้นไม้และภูเขารายล้อมรถไฟพร้อมกับแสงแดดอ่อนๆของวันใหม่ ช่างสงบราวกับเวลาถูกหยุดลง เอาจริงๆตั้งแต่มองออกไปนอกหน้าต่างก็เหมือนหลุดออกจากห้วงเวลาไปอยู่ที่ไหนสักแห่งในความคิด
"มึงตื่นกี่โมงเนี่ย" ลมเย็นที่ตีเข้ามาทางหน้าต่างทำให้สติของเรากลับมาพร้อมกับถามเพื่อน มันค่อยๆหันมาและตอบว่าตื่นมาเป็นชั่วโมงแล้ว
ทำไมตื่นไวจังวะ ความคิดผุดขึ้นมาพร้อมความงงแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป
นั่งอยู่ไม่นานเพื่อนอีกคนก็เดินตามมา คงจะเห็นจากข้อความเหมือนกัน รถไฟชลอตัวลงและหยุดอยู่กับที่โดยที่เราและเพื่อนไม่รู้สาเหตุแต่รู้ตัวอีกทีก็เดินลงไปซะแล้ว
ดูเหมือนจุดนี้จะเป็นจุดพักประจำของคนควบคุมรถไฟจากการที่สุนัขนับสิบวิ่งมาทันทีที่รถไฟหยุดลง เรายืนมองและถ่ายรูปอยู่ระยะหนึ่ง ท่ามกลางธรรมชาติ ไม่รู้ด้วยซำ้ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหนของประเทศไทย รู้แค่ว่าอยู่ระหว่างกรุงเทพกับเชียงใหม่ อาหารถูกป้อนให้สุนัขที่กินอย่างมีระเบียบอย่างกับถูกสอนมา เรามองอยู่สักพักก็คิดว่า สงบดีแหะ แต่ความสงบดูเหมือนจะอยู่ได้ไม่นานก่อนที่พี่เค้าจะบอกว่ารถจะวิ่งต่อแล้ว
แปลกดีแหะ หมาพวกนี้มันรู้ได้ยังไงกัน เราได้แต่ถามตัวเองในใจก่อนที่จะดื่มโอวัลตินจนหมดแก้ว

รถไฟแล่นไปตามรางพร้อมกับเวลาที่หายไปตามทาง ตอนนี้พวกเราตื่นกันครบแล้วและกำลังเก็บข้าวของที่เอาออกมาเมื่อคืนใส่กระเป๋าและนั่งรอเวลา พวกเราต่างพูดคุยเรื่อยเปื่อย ทั้งเรื่องชีวิตและเรื่องการเดินทางข้างหน้าของเราในอีกสองสามวันข้างหน้าจะเป็นยังไง แต่แค่คิดก็ตื่นเต้นซะแล้ว
รถไฟจอดที่สถานีสุดท้ายก่อนที่จะถึงสถานีปลายทางเชียงใหม่ สถานีนี้คือสถานีขุนตาน
ขุนตาน หรือ อุทยานแห่งชาติขุนตาน ตั้งอยู่ระหว่าง จ.ลำพูน และ จ.ลำปาง เป็นเส้นทางที่ถูกขนานนามว่าเป็นเส้นทางคลาสสิคที่นักเดินป่าหลายๆคนต้องมา สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับที่นี่ก็คงจะไม่พ้นอุโมงค์ขุนตาน เป็นอุโมงที่รถไฟผ่านก่อนที่จะถึงขุนตานหรือออกจากขุนตาน อุโมงค์นี้ถือเป็นอุโมงค์เดียวในประเทศที่มีตราสัญลักษ์ครุฑประทับอยู่ด้านบน
ทันทีที่รถไฟจอดลง นักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติก็พากันทยอยลงมา การแต่งตัวของแต่ละคนก็จะคือๆกัน มีหมวกบ้าง ขายาวแขนยาวบ้าง แว่นกันแดดบ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนมีเหมือนกันก็คือกระเป๋าเดินทางกลางแจ้งใบใหญ่ที่แบกไว้ด้านหลัง เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของนักเดินทางอย่างแท้จริง
ผม เพื่อนๆ และคนอื่นๆต่างลงมาสูดอากาศและชมวิว เป็นบรรยากาศที่แสนสงบและเปี่ยมไปด้วยความสุข ความสุขที่หามาได้แบบไม่ยากจริงๆ การใช้ชีวิตที่แสนจะธรรมดาในเมืองที่มีตึกลัดฟ้าดูคงจะหาได้ยาก เพราะงี้คนถึงได้ออกเดินทางมากันละมั้ง รวมถึงพวกเราด้วย

08:51 น. ถึงสถานีรถไฟเชียงใหม่โดยสวัสดิภาพ พวกเราต่างแบกของส่วนตัวกันลงมาก่อนที่จะมุ่งหน้าไปห้องนำ้เพื่อล้างหน้าแปรงฟัน ดูเหมือนคนอื่นๆในขบวนก็คิดเหมือนกัน แพลนของการมาเชียงใหม่ทริปนี้ไม่มีอะไรมาก เราตั้งใจมาเชียงใหม่เพื่อที่จะต่อรถตู้ไปปาย

ท่ีซื้อตั๋วตั้งอยู่ใกล้สถานีพอดี พวกเราจึงเดินไปซื้อตั๋วรอบที่เร็วที่สุดนั่นก็คือรอบ 10:00 น. จากที่ตั้งใจจะไปกินมื้อแรกที่ปาย เรามาลงเอยที่ร้านเกาเหลาข้างสถานีเพราะเหลือเวลาก่อนขึ้นรถหนึ่งชั่วโมงและแวะ7-11เพื่อซื้อของไปกินในรถ ส่วนใหญ่จะเป็นพวกบ๊วยที่กะจะกินกันเมารถ
14:00 น. ทันทีที่รถจอดที่ปาย เราและเพื่อนๆต่างกรูกันออกมาเพราะพวกเราไม่สามารถอยู่ในรถตู้นี้ได้อีกแม้แต่วินาทีเดียว ไม่เคยคิดว่าตัวเองเมารถก็วันนี้แหละ ทั้งคนขับที่น่าจะได้แรงบันดาลใจมาจาก Dominic Toretto บวกกับทางโค้งนับร้อย ทำให้การเดินทางครั้งนี้เหนื่อยเอาการทีเดียว แค่คิดว่าจะต้องนั่งอีกรอบขากลับก็ท้อซะแล้ว
หลังจากที่ยืนสูดหายใจหน้าจุดบริการขายรถตู้ เรามุ่งหน้าไปฝากท้องที่ "ร้านผัดไท @ ปาย"
ขอบคุณสำหรับคนที่อ่านมาตั้งแต่ต้นจนจบนะครับ ทริปนี้เป็นทริปที่ไปมาช่วงมัธยมปลาย เป็นทริปที่ได้เรียนรู้ว่าการเดินทางมันเป็นยังไง มากกว่าการนั่งเครื่องบินไปลงละก็เที่ยวๆ แต่เพราะความเป็นเด็กม.ปลายจึงทำให้ทำอะไรแบบนี้ได้
พอเป็นเด็ก เวลาเยอะ เงินน้อย บวกกับความบ้า ก็จะออกมาเป็นทริปนี้ ตอนหน้าเราจะเริ่มจากการเช่ามอไซที่ปาย ดูพระอาทิตย์ตกที่ปายแคนยอน และเดินทางไปยังบ้านรักไทย จ.แม่ฮ่องสอนด้วยฟีลาโน่คู่ใจที่กำลังเครื่องก็... ขออนุญาตตัดจบแบบรายการทีวีเลยละกัน
โปรดติดตามตอนต่อไปของการผจญภัยสุดทุลักทุเลของพวกเราได้ที่นี่ สวัสดีครับ
Member discussion